- สภาพัฒน์แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาส 3/2568 ผู้มีงานทำลดลง 0.5%
- ภาคเกษตร เสียหายหนักจากน้ำท่วม ไร้ที่ทำกิน เกษตรกรรับผลกระทบ 2 แสนราย ห่วงโดนยึดบ้านเพิ่ม!!
- แนะรัฐเร่งออกมาตรการช่วยเหลือ เช่น สินเชื่อรับผลกระทบน้ำท่วม
- เปิดตัวเลขค่าจ้างภาพรวมลดลง 0.3 เอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.3% คือ 14,705 บาท/คน/เดือน ส่วนลูกจ้างรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ เพิ่มขึ้น 2.9 % คือ 21,560 บาท/คน/เดือน ส่วนการขึ้น VAT ไม่ใช่ช่วงเวลานี้ เพราะเศรษฐกิจไม่ได้ดีนัก
เมื่อวันที่ 24 พ.ย.2568 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงรายงานภาวะสังคมไทย ไตรมาสที่ 3 ปี2568 โดย น.ส.อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒน์ แถลงตอนหนึ่ง ว่า ภาพรวมความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาส 3 ของปี 2568 มีทั้งหมด 8 ตัว คือ การจ้างงานหดตัวลงคือ – 0.5 อัตราการว่างงานอยู่ที่ 0.76 หนี้สินครัวเรือนลดลงที่ -0.3 เป็นตัวเลขไตรมาส2(Q2/68) การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังลดลง ที่ -3.06 การบริโภคเหล้า และบุหรี่เพิ่มขึ้น 0.2 คดีอาญาเพิ่มขึ้น 13.4 อุบัติเหตุทางถนนเพิ่มขึ้น 1.4 และการร้องเรียนของผู้บริโภค เพิ่มขึ้น 34.4
การจ้างงาน
-ภาพรวม ผู้มีงานทำ 39.9 ล้านคน ลดตัวลง 0.5% โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม ลดลง 2.9% มีแรงงานภาคเกษตรกรรมอยู่ที่ 11.9 ล้านคน สาเหตุเพราะแรงงานรุ่นใหม่ไม่นิยมประกอบอาชีพทำเกษตร และจากสถานการณ์อุทกภัย เสียหายวงกว้าง กระทบเกษตรกร 2 แสนราย พื้นที่การเกษตร 6.2 แสนไร่ (ที่มา : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วันที่ 7 พ.ย.68)
ส่วนงานนอกภาคเกษตรขยายตัว โดยเฉพาะก่อสร้างขยายตัว 5.4% ขนส่ง เก็บสินค้าขยายตัวเพิ่ม 4.9% การผลิตขยายตัว 2.6% ค้าส่งค้าปลีกขยายตัว 1.5% แต่โรงแรม/ภัตตาคารหดตัวลง 0.6%
-ส่วนชั่วโมงการทำงาน ทรงตัว โดย 46.9 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เป็นเอกชนอยู่ที่ 42.7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ผู้ที่ทำงานต่ำกว่าระดับ หรือ 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลดลง 25.7%
-ค่าจ้างเฉลี่ยภาพรวมลดลง 0.3% โดยค่าจ้างเฉลี่ยของเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.3% คือ 14,705 บาทต่อคนต่อเดือน ส่วนลูกจ้างรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ เพิ่มขึ้น 2.9 % คือ 21,560 บาทต่อคนต่อเดือน ขณะที่กลุ่มอาชีพอิสระลดลง 2.9%
อย่างไรก็ตาม คนไทย 42% กังวลเกี่ยวกับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น แม้เงินเฟ้อจะติดลบ และครึ่งปีแรกคนไทย 46% กังวลต่อภาวะเศรษฐกิจจนรู้สึกว่าไม่สบายใจที่จะซื้อของใช้ในบ้าน

อัตราว่างงาน
-ผู้ว่างงานมีอยู่ 3.1 แสนคน มีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 0.76% ลดลงกว่าปี 2567 (1.06%) อัตราว่างงานในระบบอยู่ที่ 1.99 ส่วนอัตราว่างงานเสมือนอยู่ที่ 1.62 ล้านคน โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม เพราะต้องชะลอการเพาะปลูกจากสถานการณ์อุทกภัย
ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ คือ
1) การควบคุมระดับราคาสินค้าเพื่อรักษาความสามารถในการใช้จ่ายของแรงงาน ซึ่งต้องกำกับดูแลการตั้งราคาสินค้าและบริการ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าจำเป็น
2) การเตรียมมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรภายหลังสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลาย ซึ่งต้องเร่งจ่ายเงินช่วยเหลือเยียวยา และควรมีมาตรการฟื้นฟูและสนับสนุนอื่น ๆ อาทิ สนับสนุนปัจจัยการผลิตใหม่ เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ้ย เครื่องมือ เป็นต้น
หนี้สินครัวเรือน
หนี้สินครัวเลือนลดลง 0.3% อาจเพราะมีเรื่องการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ปรับลดลง ซึ่งสินเชื่อทุกประเภทหดตัวลง ยกเว้นอสังหาริมทรัพย์ อาจเพราะมีมาตรการลดค่าธรรมเนียมการจดจำนอง เป็นตัว
–ประเด็นของหนี้ยังมีเรื่องที่ต้องดูแล จากกรณีศูนย์ข้อมูลอสังหริมทรัพย์ พบว่า ถูกยึดทรัพย์เพิ่มขึ้นถึง 67,641 หน่วย มูลค่ารวม 1.2 แสนล้านบาท ขยายตัว 210.1% จากปีก่อน และที่ต้องกังวลอีกเรื่อง คือ การก่อหนี้ของครัวเรือนจากสถานการณ์น้ำท่วม ข้อมูล ณ วันที่ 10 พ.ย.2568 มีน้ำท่วม 15 จังหวัด จากปัญหาเหล่านี้รัฐต้องเร่งช่วยเหลือ ได้แก่
1.ช่วยเหลือลูกหนี้ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี เพื่อลดผลกระทบจากการสูญเสียที่อยู่อาศัย เช่น ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ไกล่เกลี่ยหนี้
2. การส่งเสริมการเข้าถึงมาตรการสินเชื่อของครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. มีมาตรการต่างๆ วงเงิน 20,000 ล้านบาท ในการออกสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน รายละไม่กิน 5 หมื่นบาท อัตราดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก และสินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิตไม่เกิน 5 แสนบาทต่อราย , ธนาคารกสิกรไทย มีมาตรการสินเชื่อบ้านที่ให้กู้เพิ่ม เพื่อซ่อมแซมบ้าน อัตราดอกเบี้ย 0% ใน 3 เดือน
“สิ่งเหล่านี้ต้องเร่งประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบมาใช้ประโยชน์จากสินเชื่อแบบนี้”
3.การประชาสัมพันธ์และติดตามการดำเนินการของโครงการ ปิดหนี้ไว ไปต่อได้ และหาแนวทางให้ครอบคลุมลูกหนี้กลุ่ม Non-bank เรื่องนี้ต้องเร่งประชาสัมพันธ์ เพราะที่ผ่านมาหลายโครงการดีๆของรัฐนั้น ประชาชนยังไม่ทราบ ทำให้เข้าไม่ถึง

น.ส.อ้อนฟ้า กล่าวอีกว่า ในการปรับขึ้นภาษี VAT นั้น คงต้องดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม และต้องดูว่าการบริโภคฟื้นตัวกลับมาหรือไม่ อย่างกรณีที่รัฐบาลออกมาตรการ เช่น คนละครึ่งพลัส เพื่อกระตุ้นการบริโภค นั้น มาตรการดังกล่าวเป็นการกระตุ้นในสิ่งที่เรากำลังตกดินอยู่ และคงไม่ใช่ว่าเราพร้อมแล้วที่จะขึ้นภาษี Vat แล้ว ซึ่งการจะดูว่าว่าการบริโภคกลับมาแล้วหรือไม่ จะต้องดูเทรนด์ว่ามีการฟื้นตัวต่อเนื่องกี่ไตรมาส อย่างไรก็ตาม การขึ้น VAT ไม่ใช่ช่วงเวลานี้ เพราะเศรษฐกิจไม่ได้ดีนัก


ที่มา:/www.hfocus.org/content/2025/11/36120
